
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่สนใจในเรื่องการทำ SEO หรือทำเว็บไซต์ให้ติดอันดับบน Google การรู้จักกับกลยุทธ์วิธีการทำ On-Page SEO นับได้ว่าเป็นส่วนสำคัญที่สุดที่จะติดอันดับหน้าแรกบน Google จะต้องมีการปรับปรุงเว็บไซต์ในแต่ละส่วนเพื่อให้เว็บไซต์มีโอกาสที่จะขึ้นหน้าแรกได้
บทความนี้จะพาไปรู้จักการทำ On-Page SEO ขั้นตอนการเพิ่มคุณภาพเว็บไซต์ในแต่ละส่วนเพื่อให้ติดอันดับผลการค้นหาและสามารถดึงดูดจำนวนคนเข้าเว็บไซต์ได้
SEO On-Page คืออะไร
SEO On-Page คือการปรับแต่งเนื้อหา Content ภายในเว็บไซต์เพื่อให้ผู้อ่านสามารถเข้าถึงและเข้าใจเนื้อหาในเว็บไวต์ได้ง่ายขึ้น การทำ SEO On-Page ไม่เพียงแต่ช่วยให้เว็บไซต์ติดอันดับสูงขึ้นเท่านั้น แต่ยังเพิ่มประสบการณ์ใช้งานของผู้อ่านด้วย เพราะการทำเว็บไซต์ที่ดี มีการจัดระเบียบและเขียนเนื้อหาที่มีคุณภาพทำให้ผู้อ่านค้นหาข้อมูลที่ต้องการได้ง่ายและรวดเร็ว
แชร์วิธีการทำ On-page SEO ให้ติดอันดับหน้าแรกได้เร็วขึ้น
1. เตรียม Keyword Research
อย่างแรกเลยเราจะต้องเริ่มต้นวางแผน Keyword Research เพื่อจัดระเบียบประเภท Content Pillar ในการแบ่งเนื้อหาแต่ละเรื่องให้มีความชัดเจน ซึ่งเครื่องมือการใช้วางแผน Keyword Research มีหลากหลาย เช่น Google Keyword Planner, Ubersuggest, SEMrush หรือ Ahrefs เพื่อใช้หา Search Volume (ปริมาณการค้นหา) และหา Search Intent ที่แท้จริงของผู้อ่าน
** Search Intent คือคำที่ผู้อ่านค้นหาจริงๆบน Google
2. ปรับปรุง Title และ Description
การปรับปรุง Title และ Description ให้มีความน่ากดเข้าไปอ่านเป็นสิ่งสำคัญในการทำ On-Page SEO ที่ช่วยเพิ่มอัตราการคลิกหรือ (CTR) ให้มากขึ้น คำแนะนำในการ ปรับคุณภาพ Title และ Description มีดังนี้
Title
ควรใส่ Main Keyword เข้าไปด้วยเพื่อดึงดูดให้ผู้อ่านคลิกเข้าไป
ความยาวไม่เกิน 60 ตัวอักษรเพราะหากมากกว่านั้นส่วนที่เกินมาจะถูกปิดไม่ให้มองเห็น
ควรใส่คำที่มีความน่าดึงดูด น่าสนใจ
หลีกเลี้ยงการ Spam Keyword
Description
ควรเป็นการสรุปเนื้อหาภายในให้ชัดเจน
ความยาวไม่เกิน 155 ตัวอักษร
ไม่ควรใส่ Keyword มากจนเกินไป
3. วางโครงสร้าง Heading Tag ให้เหมาะสม
การใช้ Heading Tags H1, H2, H3 ไปจนถึง H6 เป็นสิ่งจำเป็นในการจัดระเบียบเนื้อหาและช่วยให้ SEO Algorithm เข้าใจเนื้อหาได้ง่ายว่าในแต่ละหน้าเกี่ยวข้องกับเรื่องอะไร แนวทางการวางโครงสร้าง Heading Tag ควรที่จะเรียงลำดับจาก H1 ไปจนถึง H6
คำแนะนำสำหรับการวาง Heading Tag
ควรใส่ Keyword ใน H1, H2
ควรเรียงลำดับหัวข้อใหญ่ - หัวข้อย่อย Heading Tag ให้ชัดเจน
4. ปรับ URL หรือ Slug ให้มีความ Friendly
การทำ URL ให้กระชับ เข้าใจง่ายเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้ Google เข้าในเนื้อหาภายในได้รวดเร็ว การกำหนด URL ที่ดีควรที่จะมีการใส่ Keyword เข้าไป หรืออาจจะเป็นประโยคที่ง่ายๆ กระชับเพื่อนให้ผู้อ่านเข้าใจถึงเนื้อหาที่กำลังเข้าไปอ่าน
ตัวอย่าง URL ที่ดี
ตัวอย่าง URL ที่ไม่ดี
5. กำหนด Alt Text รูปภาพให้ชัดเจน
Alt Text เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ Google เข้าใจรูปภาพได้ง่ายขึ้น การเขียน Alt Text ที่ดีคือการอธิบายรูปภาพให้ชัดเจนกระชับ และตรงประเด็น ควรที่จะใส่ Keyword เข้าไปให้เป็นธรรมชาติและไม่ดูเยอะจนเกินไป และ ในแต่ละรูปไม่ควรที่จะใช้ Alt Text ซ้ำกันแต่ละรูปควรที่จะใส่ Alt Text ที่มีความเฉพาะเจาะจง
การเขียน Alt Text อย่างชัดเจนและตรงกับเนื้อหาจะช่วยให้เว็บไซต์มีโอกาสติดอันดับบน Google Images มากขึ้น
6. เพิ่มความเร็วเว็บไซต์ Page Speed
ความเร็วเว็บไซต์เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างประสบการณ์ที่ดีต่อคนใช้งาน เพราะถ้าหากเว็บไซต์โหลดช้า ก็จะทำให้ผู้ใช้งานออกจากเว็บไซต์ทันที ซึ่งการเพิ่มความเร็วเว็บไซต์สามารถทำได้หลายวิธีเช่น
ขนาดไฟล์รูปภาพไม่ควรใหญ่เกินไปเลือกใช้สกุลไฟล์ขนาดเล็กเช่น webp หรือทำ Lazy Load
ใช้ Plugin เท่าที่จำเป็น การใช้ Plugin มากเกินไปจะทำให้เว็บไซต์โหลดช้าขึ้น
ใช้ Browser Caching บันทึกข้อมูลหน้าเว็บไว้ชั่วคราว เมื่อผู้ใช้กลับมาเข้าเว็บไซต์อีกครั้ง ระบบจะสามารถโหลดหน้าเว็บได้รวดเร็วขึ้นโดยไม่ต้องดึงข้อมูลใหม่ทั้งหมด
ใช้ Hosting ที่รวดเร็วมีคุณภาพ
ปรับปรุง Core Web Vitals ให้ผ่านเกณ์
สามารถใช้เครื่องมือ PageSpeed Insight เพื่อวัดความเร็วเว็บไซต์และสิ่งที่ต้องปรับปรุง
7. เชื่อมโยงเนื้อหาด้วย Internal Linking
การทำ Internal Linking เป็นการช่วยให้ Google เข้าใจว่าโครงสร้างเนื้อหาที่มีการส่งลิ้งถึงกันมีความเกี่ยวข้องกันและทำให้ผู้อ่านสามารถกดเข้าไปเพื่ออ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม ลดอัตราการออกจากหน้าเว็บไซต์หรือ Bounce Rate
ควรที่จะเลือกใส่ Anchor Text ให้เหมาะสม มีความหมายที่ชัดเจน ใส่ Keyword เข้าไปและเกี่ยวข้องกับลิ้งที่แนบไป ไม่ควรที่จะมี Anchor Text มากจนเกินไปเพราะมันจะดูไม่เป็นธรรมชาติและจะกลายเป็นการ Spam ซึ่งส่งผลเสียต่อการทำ SEO
Comments