
ถ้าคุณอยากเริ่มขายของออนไลน์ แต่ยังไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง อย่ากังวลครับ เพราะในยุคนี้การขายของออนไลน์ไม่ใช่เรื่องซับซ้อนอย่างที่คิด บทความนี้จะช่วยแนะนำขั้นตอนและเทคนิคง่าย ๆ ที่สามารถเอาไปทำตามได้ทันที ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หรือมีประสบการณ์มาบ้างแล้ว การขายออนไลน์สามารถเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่จะสร้างรายได้เสริมหรือทำเป็นอาชีพหลักได้เลย มาดูกันครับว่าเริ่มต้นยังไง และต้องทำอะไรบ้างเพื่อให้คุณสามารถเข้าสู่วงการขายของออนไลน์และเติบโตต่อไปได้ในอนาคต
รวมวิธีขายของออนไลน์แบบใช้ได้จริง ไม่ขายฝัน
การขายของออนไลน์ มีหลากหลายวิธีที่คุณสามารถนำไปใช้ได้จริง ไม่ว่าจะเป็นการขายผ่าน Facebook, IG, TikTok หรือ เปิดร้านบน Shopee, Lazada สิ่งที่สำคัญคือต้องหาวิธีที่เหมาะสมสำหรับสินค้าแต่ละอย่างและ ปรับตัวให้เข้ากับพฤติกรรมลูกค้าปัจจุบัน
1. ก่อนจะขายต้องมีของขายก่อน
ก่อนที่คุณจะเริ่มขายของออนไลน์ สิ่งแรกที่คุณต้องทำคือการมีสินค้าที่จะขายให้ชัดเจน การเลือกสินค้าที่คุณจะขายมีความสำคัญมาก เพราะมันเป็นหัวใจหลักในการทำเงินให้กับตัวเอง สิ่งที่ควรดูสำหรับเริ่มต้นเลือกสินค้าที่จะขาย
ความสนใจและความชำนาญ: เลือกสินค้าที่คุณมีความรู้และสนใจกับมันจริง ๆ เพราะจะทำให้ทุกอย่างออกมาดี เพื่อให้คุณสามารถพูดคุยและสร้างความน่าเชื่อถือกับลูกค้าได้ง่ายที่สุด โดยที่การขายจะออกมาจากประสบการณ์จริงจากตัวเอง
ความต้องการในตลาด: สำรวจตลาดเพื่อดูว่าสินค้าใดที่ผู้คนกำลังต้องการ สามารถใช้เครื่องมือค้นหาเทรนด์ที่กำลังมาแรงในช่วงนี้ หรือโซเชียลมีเดียเพื่อดูแนวโน้มการพูดถึงเรื่องต่างๆที่กำลังเป็นกระแสมาแรง
คู่แข่ง: ศึกษาคู่แข่งในตลาด เพื่อให้คุณเข้าใจถึงจุดแข็งและจุดอ่อนของพวกเขา และหาทางที่จะทำให้สินค้าของคุณโดดเด่น แตกต่างกว่าคู่แข่งให้ได้
คุณภาพของสินค้า: ตรวจสอบคุณภาพของสินค้าที่จะขายทุกครั้ง เพราะการมีสินค้าที่ดีจะช่วยให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจและกลับมาซื้อซ้ำในอนาคต ยอมเสียเวลา QC สินค้าเองดีกว่าจะต้องมาเสียเวลาหาลูกค้ารายใหม่
2. ค้นหาแหล่งรับของมาขาย
หลังจากที่เลือกได้แล้วจะขายอะไรต่อไปคือหาแหล่งรับของมาขาย ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้สามารถนำสินค้ามาขายหน้าร้านได้ วิธีการหาแหล่งสินค้าหลัก ๆ มีดังนี้
สั่งจากโรงานโดยตรง : ติดต่อโรงงานผู้ผลิตสินค้าที่สนใจโดยตรง คุณอาจจะได้ของราคาที่ถูกกว่าในตลาด แต่อาจจะแลกมาด้วยปริมาณการสั่งซื้อแต่ละครั้งที่สูง และยังสามารถควบคุมคุณภาพของสินค้าภายใต้มาตราฐานโรงงานได้เลย
นำเข้าจากจีน : วิธีนี้อาจจะต้องใช้แพลตฟอร์มของจีน Alibaba 1688 หรือ Taobao ที่มีสินค้าหลายอย่างให้เลือก สามารถเปรียบเทียบราคาได้หลายเจ้า และอาจจะต้องใช้เวลาในการขนส่งจากจีนมาไทย
เดินตามตลาดนัดขายราคาส่ง : เช่นตลาดนัดจัตุจักร ตลาดสำเพ็ง
แหล่งรับของแต่ละที่ต่างก็มีข้อดี ข้อเสียที่ต่างกันไปขึ้นอยู่กับว่าสินค้าที่จะเอามาขายควรหามาจากแหล่งไหนที่น่าเชื่อถือมีคุรภาพมากที่สุด
3. กำหนดราคาขายให้คุ้มค่าเหนื่อย
จะขายของทั้งทีก็ต้องบวกราคาเพิ่มเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนทำกัน เริ่มจากคำนวณต้นทุนทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น ต้นทุนการผลิต, ค่าขนส่ง, ค่าการตลาด และค่าใช้จ่ายอื่น ๆที่เกี่ยวข้อง จะต้องลิสออกมาให้ครบถ้วน จากนั้นควรควรที่จะดูราคาคู่แข่งทั้งสินค้าทางตรง และ ทางอ้อม เพื่อใช้เป็นราคาขายที่เหมาะสม อีกวิธีการนึงคือกำหนดอัตรากำไรโดยทั่วไปจะอยู่ระหว่าง 20% - 50% ขึ้นอยู่กับประเภทสินค้าหรือความต้องการ
4. หาช่องทางขายที่เหมาะกับสินค้าตัวเอง
การเลือกช่องทางขายสินค้านับได้ว่าเป็นตัวกำหนดให้สินค้าคุณเป็นที่รู้จักในสายตาลูกค้าเป็นวงกว้างมั้ย หรือตรงกลุ่มเป้าหมายรึป่าว? การเลือกช่องทางที่เหมาะสมกับตัวสินค้าจะทำให้เพิ่มการมองเห็นของกลุ่มลูกค้าได้หลากหลายมากขึ้น เรามาดูกันว่าปัจจุบันมีช่องการขายอะไรที่น่าสนใจบ้างมาดูกัน
Shopee และ Lazada : หรือชื่อที่ติดหูกันอย่างค่ายส้ม ค่ายน้ำเงิน เป็นแพลตฟอร์ม E-commerce ที่ยอดนิยมตลอดกาลในประเทศไทย เรียกได้ว่าแถบจะทุกคนมักจะเข้าไปช้อปปิ้งกันอยู่แล้ว การลงสินค้าในที่นี้ถือเป็นโอกาสดีที่จะเพิ่ม Awareness ให้กับคนที่เข้ามาใช้แพลตฟอร์ม แต่ควรคำนึงถึงค่าธรรมเนียมจากการขายแต่ละแพลตฟอร์มด้วย ประมาณ 5% (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
Facebook, IG, TikTok : Social Media ที่คุ้นเคยของคนไทยซึ่งสามารถทำการขายของโดยอาจจะเป็นการยิงแอดเพื่อให้คนรับรู้ได้อย่างรวดเร็ว หรือเป็นการทำคอนเทนต์ทั้งแบบคลิป, เขียนรีวิว, ทำกราฟฟิกให้น่าดึงดูด หรือ ไลฟ์สด (เป็นที่นิยมและเห็นผลได้ไว)
มีช่องทางการขายหลายช่องทางถือเป็นสิ่งที่ควรทำในยุคนี้ แต่เราควรจะเน้นช่องทางการขายสินค้าที่เหมาะสมมากที่สุดเพื่อทำให้ปิดการขายได้ง่ายมากขึ้น
5. รู้จักทำการตลาดเผยแพร่ชื่อเสียงไปสู่คนภายนอก
การทำการตลาดให้สินค้าเป็นที่รับรู้ และ รู้จักเป็นสิ่งที่สำคัญมากในโลกออนไลน์ การมีสินค้าที่ดีเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอในยุคปัจจบัน คุณจะต้องทำให้ผู้คนรู้จักและสนใจสินค้าของคุณด้วย แนวทางที่คุณสามารถใช้ในการทำการตลาดมีดังนี้
สร้างเนื้อหาให้มีคุณภาพ : ไม่ว่าจะเป็นทำ Video, ทำกราฟฟิก หรือเขียนบทความ จะต้องทำออกมาให้ตอบโจทย์กับคนที่เข้ามาอ่านให้มากที่สุด ทักษะที่จำเป็นต่อการทำ Content Marketing คือการเข้าใจ Intent ของคนที่จะเข้ามาดูเนื้อหาภายใน และสร้างคอนเทนต์ให้ตอบโจทย์กับความต้องการ
ใช้โฆษณาผลักดันให้คนรู้จักรวดเร็ว : ไม่ว่าจะทำ SEO, SEM หรือ Facebook Ads เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่มีความสนใจในสินค้าของคุณ
Influencers : หาคนที่ชื่อเสียงบนโลกออนไลน์มาช่วยทำการตลาดให้สินค้าด้วยการ รีวิวจากการใช้งานจริงเพื่อดึงดูดให้ผู้ติดตามซื้อสินค้ามาใช้
6. รอรับเงินเข้ากระเป๋า
มาถึงขั้นตอนนี้ที่ทุกคนอยากทำมากที่สุดคือการรับเงินจากลูกค้าจะได้เงินมาก-น้อย ขึ้นอยู่กับขั้นตอนที่ทำมาแต่ละข้อหากใครทำได้ดี ศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมก็ได้รับมาก
7. มีกำไรแล้วต้องเสียภาษี
เป็นพ่อค้า-แม่ค้าออนไลน์ก็ต้องมีหน้าที่จ่ายภาษีอยู่ดี หากขายในนามบุคคลธรรมดามีวิธีคำนวณ 2 วิธี
วิธีที่ 1 ภาษี = เงินได้สุทธิ (เงินได้ - ค่าใช้จ่าย - ค่าลดหย่อน) x อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
หรือ
วิธีที่ 2 ภาษี = เงินได้พึงประเมิน x 0.5% (ถ้าค านวณภาษีตามวิธีที่ 2 แล้วไม่เกิน 5,000 บาท ให้เสียภาษีตามวิธีที่ 1)
การขายของออนไลน์ถือเป็นอาชีพที่สองรองจากงานประจำเพราะสามารถทำเมื่อไหร่ก็ได้ ทำมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำแล้วประสบความสำเร็จจำเป็นที่จะต้องอาศัยความขยัน มีวินัย ศึกษาเข้าใจการตลาดให้ทะลุปลุโปร่งเพื่อสร้างโอกาสยอดขายให้เติบโตก้าวไปข้างหน้า
Comments